March 14, 2007

กฏทอง 10 ข้อของคนรักกัน (รักษาสภาพรักแท้ๆ)



กฎทองข้อที่ 1 เราจะไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน อย่างที่คนโบราณเค้าว่า ถ้า.... เขาร้อนเป็นไฟ คุณก็ต้องเย็นให้ได้ดั่งน้ำ (น้ำเปล่านะ ไม่ใช่น้ำมัน)
We will not simultaneously get angry. Be cool as water whenever another one being fire.

กฎทองข้อที่ 2 เราจะไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน
We will not shout into each others faces beside our house is accidentally on fire.

กฎทองข้อที่ 3 จำไว้ว่าไม่มีใครชอบคำติ หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำ อย่าลืมพูดให้หวานๆ เข้าไว้ (ไม่ใช่พูดว่าน้ำตาลๆๆๆนะ)
Nobody loves to be criticized. When talking of what you dislike or need his/ her improvement, use soft & sweet words.

กฎทองข้อที่ 4 เราจะไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า
We will not revive any bad old practices, but only our romances.

กฎทองข้อที่ 5 ทำให้เขารู้สึกว่า เขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ
Make him/her know how much s/he means to you.

กฎทองข้อที่ 6 สัญญากันนะว่าเราจะไม่โกรธกันข้ามคืน เพราะคุณนั่นแหล่ะจะนอนไม่หลับ คุยกันให้เข้าใจกันก่อนดีกว่าหันหลังให้กัน
Promise me that we will not peevish over- night. Talk face to face not back-chat.

กฎทองข้อที่ 7 คุยกันให้มากหน่อย จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หนังสือที่คุณเพิ่งอ่านจบ ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเราผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม
Tell him or her more about anything in your life to tie you up together.

กฎทองข้อที่ 8 ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็ขอโทษซะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอก
Don't be shy to show him/her your apology. When you have something mistaken

กฎทองข้อที่ 9 อย่าเข้าใจผิดว่าการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เพราะการใส่ใจ คือการให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูด แต่ดูทีวีไปด้วย
Don't misunderstand that being together always is to show your heedfulness.

กฎทองข้อที่ 10 อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า เรายังรักกันเสมอ …
Lastly, realize him/ her that your love still exists and will be eternally last.

กฎข้อพิเศษสำหรับใครบางคน การที่จะได้รู้จักใครซักคนเป็นเรื่องที่วิเศษ อย่าให้เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาที ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ที่มีมา... มันคุ้มกันแล้วเหรอ!! เพียงคำว่าอภัยและปรับตัวเข้าหากันใหม่ สิ่งดีๆ อาจมีขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว ปัญหาเกิดเพราะไม่คุย ปัญหาเกิดเพราะไม่คิดจะแก้ไข ปัญหาเกิดเพราะทิฐิ ปัญหาเกิดเพราะคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ปัญหาเกิดเพราะนึกถึงแต่ตัวเองคิดว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด ...แล้วอีกฝ่ายคิดแบบเดียวกับคุณหรือเปล่า สุดท้ายก็มีแต่ความเสียใจ....

คุณเลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เค้าทำ แล้วรักษาสิ่งดีๆ ต่อไป หรือเลือกที่จะทำลายเมื่อคุณไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการ!!

เรื่องของคิม ฟุค ...

คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ

เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวนั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3 ปี ต่อมาก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย

แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2539 คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่าสงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง

หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ

พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบัน และอนาคต"

เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ

เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ"

คิมเข้าไปโอบกอดเขาแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง "ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้"

เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า "หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้น เรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด"

เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้

เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า "ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น"

บทเรียนของ คิม ฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้บทเรียนจากอดีต อย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ "การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย"

March 12, 2007

14 วิธีจัดชีวิตให้เรียบง่าย

อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณอาจไม่ต้องขายบ้าน เปลี่ยนงาน เลิกกับแฟน หรือทำบางสิ่งบางอย่างแบบสุดๆ จะทุ่มเท หรือสุดโต่งให้เสียพลัง เพียงแค่ปรับเปลี่ยนจากความยุ่งยาก จากความลำบากแสนสาหัสในการตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับโลกใบเดิม มาทำเรื่องสบาย ๆ เรียบง่ายยึดหลัก " น้อยคือมาก" ในชีวิตประจำวัน ความสุขก็แค่เอื้อมมือคว้า ไม่ต้องถึงกับปีนป่ายหน้าผาก็หาไว้เป็นของตัวเองได้ ลองวิธีต่อไปนี้เป็นแนว ทางให้ชีวิตเรียบง่าย สร้างสรรค์และพอเพียง

1. รับไว้ .... เท่าที่รับได้

ต่อให้คุณยิ่งใหญ่มาจากโลกไหน แบกความรับผิดชอบมากมายเท่าไหร่ ทว่าคุณก็ยังไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกอยู่ดีจงจำไว้ว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คุณคนเดียว ปล่อยให้มันเป็นไปและให้คนอื่นตัดสินใจด้วยตัวเขาบ้าง

2. ลุย ๆ ๆ ฮุย เล ฮุย

เมื่ออายุมากขึ้น สิ่งที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่หมายถึงความรับผิดชอบทั้งหลายที่ต้องตามมาเป็นหางว่าว ไหนจะตามหาในสิ่งที่ชอบ ตัวตน จุดยืนและความคิดของคุณเอง จัด - คิด- คัด -สรร ให้ชีวิตสมดุล ลองแบ่งหน้าที่ในชีวิตออกเป็นสองเรื่องใหญ่ได้แก่ - ความรับผิดชอบในการงาน - ความรับผิดชอบที่บ้าน จัดลำดับความสำคัญที่ใหญ่ที่สุด วาดแผนผัง หรือโยงข้อย่อย ๆ ออกมา เลือกทำแค่สิ่งที่ " ต้อง" ทำและจำเป็นในชีวิตก่อน ตัดโปรแกรมมัลดีฟส์ เที่ยวรอบโลก ช้อปปิ้งที่ฝรั่งเศสออกไปก่อน แล้วปฏิบัติภารกิจที่อยู่ตรงหน้าตามความสำคัญ

3. หยุดทุกสิ่งรอบตัว .... แล้วอยู่คนเดียวบ้าง

หาเวลาอยู่คนเดียวบ้าง อาจจะเป็นวันหยุดไม่ต้องมีแผนอะไรไม่มีตารางไม่แชท ไม่คุยโทรศัพท์ ไม่สื่อสารกับโลกภายนอกสักวัน หาอะไรทำอย่างที่อยากจะทำจริงๆไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำไม่ต้องฝืนจะนอนมอง หน้าต่างแล้วเคลิ้มหลับไป หรือเปิดเพลงที่อยากจะฟัง จะทาเล็บหรืออ่านจดหมายรักเก่าๆใช้เวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ซะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องปราศจากสาระ

4. อยู่กับครอบครัว

แม้ที่บ้านคุณจะโหวกเหวก ทั้งลูกทั้งหลานจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตลอดเวลา แต่นั่นล่ะคือการเติมพลังให้ชีวิตอีกด้านหนึ่ง เพราะครอบครัวคือความอบอุ่นที่ไม่ต้องมีจริตไม่ต้องยึดติดภาพลักษณ์ อยู่บ้านจะหัวเป็นเพิ้ง กินแล้วนอน คนในครอบครัวก็รับคุณได้ อยู่บ้านแล้วลองนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณเคยทำในวัยเด็ก ซึ่งเนิ่นนานแล้วที่คุณร้างรากลิ่นและรสเดิมๆนั้นจำได้ไหม ที่กินน้ำอัดลมแล้วชอบเอาบ๊วย หรือลูกอมใส่ลงไป เพราะเชื่อว่าทำให้มีหลายรสชาติ หรือไม่ก็ลองเปิดหนังผี แล้วเรียกเด็กๆมานั่งหน้าทีวี ชวนกันคลุมโปงเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ ต้องกินบะหมี่ป๊อก หรือส้มตำไก่ย่างที่เข็นมาขายหน้าบ้าน แล้ว อย่าลืมเปิดละครจักรๆวงศ์ๆหรือไม่ก็การ์ตูนช่องโปรด

5. เงินเดือนน้อยลง .... สุขมากขึ้น

สุดท้ายแล้วชีวิตที่สุขมากขึ้น กลับไม่ต้องการ อะไรเลย เพียงแค่มีเวลาให้ชีวิตและได้ทำในสิ่งที่รัก วัตถุไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป เท่าที่ผ่านมาหากคุณมีเงินเดือนมากมาย แต่กลับไม่มีเงินเก็บในธนาคาร ด้วยค่าใช้จ่ายมากมายบนบ่า ค่าบัตรเครดิต ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภคภาษีสังคม ค่าของแบรนด์เนม ค่าอุปกรณ์นวัตกรรมแห่งยุคอีกมากมายและอื่นๆ อีกจิปาถะ ลด ละ เลิก ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ชีวิตจะเบาสบาย และเหนื่อยน้อยลง ด้วยความที่ไม่ต้องวิ่งตามกระแสสังคมที่เชี่ยวกราก ชนิดที่วิ่งตาม ไม่ทันแต่ต้องขึ้นเครื่องบินโลว์คอสต์ตามกันแล้ว ค้นหาตัวเอง หาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข แม้ไม่รวย ไม่มี ตำแหน่ง เบรกกระแสรอบข้างไว้ แล้วฟังเสียงหัวใจของคุณบ้าง

6. เหลียวมองข้างทางบ้าง

วันนี้ไม่มีอะไรเร่งด่วน ถึงขั้นถ้าไปเลทนิด ๆ แล้วดวงดาวจะสะเทือน เจอดอกไม้งามๆลองชะลอรถให้ได้เห็นความงามของดอกไม้ได้ชัดๆเป็นบุญตาบ้างก็ดี

7. ซื้อของส่วนรวม

ซื้อเสื้อขาว ถุงเท้าขาว กางเกงกีฬา หรือหมวกแก๊ป ที่สามารถแชร์กับคนอื่นในครอบครัวได้ หรือคุณอาจจะไม่ซื้อแค่สบู่ที่คุณชอบคนเดียว แต่เป็นกลิ่นยอดนิยมที่ทุกคนในบ้านใช้ได้ เป็นเหมือนการแบ่งปันทางอ้อม น่ารักดีออก ถ้าคุณบอกกับเพื่อนสาวเมื่อถึงคราวที่หล่อนต้องใช้อะไรสักอย่าง แล้วคุณบอกเธอว่าไม่ต้องซื้อ "ใช้ของฉันก็ได้แก " ได้ใจเพื่อนสาวอีกโข

8. ทำอาหารจากของเหลือในตู้เย็น

อันนี้ตำราเซนว่าไว้เชียวว่า อาหารมื้อที่หรูเลิศที่สุด คืออาหารที่ใช้วัตถุดิบเท่าที่มีอยู่มาประกอบเป็นอาหารที่อร่อยลิ้น ประหยัด สร้างสรรค์ มื้อเย็นนี้ลองคิดว่าจะทำอะไรจากของในตู้เย็นได้บ้าง แทนที่จะ คิดว่าจะกินอะไร แล้วก็แล่นเข้าซูเปอร์มาร์เกตเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

9. เอ่ยคำขอบคุณจากหัวใจ

แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนอื่นทำให้ แต่ถ้าคุณพิจารณาดีๆแล้ว นี่คือสิ่งยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงหยิบยื่นให้แก่กันคราวหน้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างลองขอบคุณคนขับจากหัวใจ หรือซื้อของจากแม่ค้าแล้วยิ้มให้จากใจสักทีคุณจะมีความสุขขึ้นอีกหนึ่งอึดใจ

10. ลองปลูกต้นไม้ด้วยมือของคุณบ้าง

การปลูกต้นไม้จะทำให้จิตใจคุณละเอียดลออขึ้น อดทนขึ้น เป็นการใส่ใจกับสรรพสิ่งเล็กๆใส่ใจให้เขาได้ เติบโต ค่อยๆทะนุถนอมดูแล เพื่อรอวันเก็บเกี่ยว

11. อยู่กับสิ่งสวยงาม

อยู่กับบ้านแทนที่จะดูแต่ทีวี เล่นอินเทอร์เน็ต มีสิ่งรื่นรมย์อื่นๆอีกมากที่รอให้คุณทำคุยกับนกกับปลาฟังเพลง เย็บปักถักร้อย ดูพระอาทิตย์ตก จิบชา ชิลล์ๆ มาสค์หน้า วาดรูป ฯลฯ เป็นการชาร์จแบตให้ชีวิตแล้ว ความสุขของคุณก็จะแผ่กระจายสู่คนอื่นด้วยตัวมันเอง

12. มีเพื่อนน้อยคนแต่มากความจริงใจ

บางคนอาจมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง มีเพื่อนรายล้อม ทว่าจะมีสักกี่คนที่เป็นเพื่อนแท้ ร้องไห้กับปัญหาของคุณ หัวเราะกับความสุขของคุณ และช่วยกันคิดหัวแตกยามคุณวิตกจริต คุณอาจจะคิดว่าการมีเพื่อนเยอะ คือ การเข้าสังคม เป็นดัชนีชี้วัดความเหงาและโดดเดี่ยว แต่ถ้าคุณเพียงแค่เฮฮา สนุกสนานไปวัน ๆ จน หมดพลังชีวิต คุณอาจต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง เต็มไปหมด เพื่อนเยอะดูจะมีแต่ปริมาณแต่ไร้ซึ่งคุณภาพซะแล้ว ใส่ใจแค่คนที่คุณรักและรักคุณ ตีคำจำกัด ความเป็นเพื่อนและจำนวนให้แคบลง ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ

13. ตามใจคนอื่นบ้าง

อืมม, ได้สิ, ไงก็ได้จ้ะ, เอาเลยๆถ้อยคำเหล่านี้ นอกจากคุณสบายใจแล้ว คนอื่นก็สบายใจที่จะได้ยิน ด้วยถ้านัดเพื่อนหรือแฟน แล้วเขาไม่อยากจะไป ชักขี้เกียจหรือเพียงแค่แดดร้อน ก็ล้มเลิกแผนนั้นซะ เคยต้องทำอะไรวันไหนตามตาราง ลองไม่ทำดูก็ไม่เห็นเป็นไร เป็นการ สปอยล์ทั้งคนอื่นและตัวเองให้เบาบางจากภารกิจได้ดี

14. โละสัมภาระ

ลองจัดห้องบ่อยๆทิ้งอะไรต่อมิอะไรที่รกหูรกตาออกไป 2 สัปดาห์ครั้ง เดือนละครั้งก็ยังดี ยิ่งทำบ่อย ทำ แต่ละครั้งก็จะยิ่งไม่เหนื่อย อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้ง หรือให้คนที่เขาขาดแคลน ชีวิตคุณจะเบาสบาย เมื่อใช้ อะไรๆให้อเนกประสงค์

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนเรา

เค้าว่ากันว่า "ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนเรา" คือ...

การตกหลุมรักใครซักคน
การได้จูบครั้งแรก
การได้หัวเราะจนท้องแข็ง
การได้นั่งอ่านจดหมายเก่าๆในวันว่างๆ
การได้ใช้เวลาว่างในที่ๆแสนงดงาม
การได้ฟังเพลงที่ชอบทางวิทยุ
การได้นอนฟังเสียงฝนตก
เมื่อเวลาที่คุณอาบน้ำเสร็จใหม่ๆแล้วมาเจอผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ
การสอบเสร็จ

การได้รับโทรศัพท์จากใครซักคนที่คุณไม่ได้พบเจอเค้าบ่อยนักแต่คุณก็อยากจะเจอ
บทสนทนาดีๆซักบท
การเจอเงินที่คุณซ่อนไว้ตั้งนานมาแล้ว
การได้ยิ้มกับใครซักคน
การคุยโทรศัพท์ตอนดึกๆได้เป็นชั่วโมงๆ
การยิ้มได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล
การถูกชมอย่างกระทันหัน
การตื่นขึ้นมาแล้วตระหนักได้ว่ามันยังน่าจะนอนต่อได้อีกตั้ง2ชม.แน่ะ
การได้ฟังเพลงที่ทำให้คุณนึกถึงคนพิเศษของคุณ
การเป็นส่วนหนึ่งของทีม
การมีเพื่อนใหม่
การรู้สึกเหมือนผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้องของคุณเวลาคุณเจอหน้าเค้าคนนั้น
การผ่านช่วงเวลานึงไปได้พร้อมๆกับเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ
การได้เห็นคนที่คุณชอบมีความสุข
การได้ใส่เสื้อของคนที่เราชอบทั้งๆที่กลิ่นน้ำหอมของเค้ายังกรุ่นๆอยู่

การได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้วรู้สึกเหมือนมันไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย
การได้มองท้องฟ้ายามโพล้เพล้
การได้ยินใครซักคนบอกรักคุณ
ที่สุดคือ การได้รู้ว่าเราเป็นที่รักของคนที่เรารัก ...จริงๆนะ