May 25, 2007

9 โรคร้ายของพนักงานออฟฟิศ


1. โรคผมร่วง

มันเป็นโรคร้ายเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ 1 แต่มันร่วงถึง 30 เส้นต่อวัน เหอะๆ อาการมันก็มีสาเหตุมาจากความเครียดของท่านพนักงานทั้งหลายนั่นแหละ ยิ่งเครียดยิ่งร่วง ยิ่งร่วง = = " โอยยิ่งเครียด แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณอาจไม่เคยคิดนั่นก็คือการขาดแสงอาทิตย์

จริงหรือ ?? ส่วนใหญ่แล้วพนักงานฯ จะไม่ค่อยได้รับแสงแดดในยามเช้า เพราะแดดในยามเช้าจะช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามิน K ที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะด้วย

2. อาการปวดหัว ไมเกรน อัลไซเมอร์ เบลอเป็นกิจวัตร

สาเหตุ ก็คงทราบโดยทั่วไปด้วยว่าเกิดจากความเครียด (ตัวนี้จะเจอในอีกหลายๆ โรค - - ") แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การรับประทานแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ( กาแฟ น้ำอัดลม ยาชูกำลัง ) อาหารไขมันสูง อาหารประเภทเนื้อสัตว์ 90% ของอาหารหลัก ถึงแม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับทานอาหารดังกล่าว

อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกาย โดยปกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย (ไม่นับการยกช้อน หรือเดินจากห้องนอนไปยังโต๊ะทานข้าว รวมทั้งการเคี้ยวอาหาร และการหายใจ) แต่พนักงานเงินเดือนเอาเวลาไหนไปออกกำลังกายล่ะ แค่ทำงานก็ฟุบแล้ว

3. อาการปวดตา น้ำตาแห้ง หน้าจอดับ เอ๊ย.. เรตินาผิดปรกติ

นอกจากความเครียดแล้วสาเหตุใหญ่ๆ ก็คือ การนั่งหน้าจอเกินวันละ 6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืด ( ดูเว็บอะไรหนอต้องเพ่งในที่มืด )รวมทั้งการขาดวิตามิน A และ B - complex

* มีบางคนบอกว่าในพริกมีวิตามิน A เลยซดเข้าไปเป็นถ้วย ๆ เออ สายตาดีแต่เวลาเข้าห้องน้ำ (555..สม)

หมายเหตุ : การอกหักบ่อย ๆ กระเทือนต่อสายตานะเอ้อ ร้องให้ตาบวมงี้ หรืออินเลิฟมากไปก็ระวังตาบอดนา (ก็ความรักทำให้คนตาบอดไง)

4. อาการไซนัส เป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้

ก็วันๆ จำศีลอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ถ้าเครื่องปรับอากาศเป็นรุ่นประหยัด... ประหยัดส่วนประกอบ ไม่มีตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ หรือมีแต่ในห้องเจ้านาย อาการเหล่านี้จะถามหาแน่นอน ควรออกไปสูดอากาศข้างนอก...นอก กทม.บ้างอ่านะ ปอดน้อยๆ จะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร

5. ปาก...หมา ไม่ช่ายๆ ปากเหม็นตะหาก

อันเนื่องมาจากความเครียด แบคทีเรียจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาวะที่คุณเครียด และมีอาหารพวก กาแฟ แอลกอฮอล์ รวมทั้งการพูดจาที่น้อยกว่าปกติ สำหรับบางท่านที่มีปัญหากับการสื่อสารกับมนุษย์ ทำให้น้ำลาย...บูด... เอ้าจริงนะ ลองสังเกตุง่ายๆ ว่าในยามเช้าท่านจะรู้สึกว่าอมชักโครกไว้ในปากก็ไม่ปาน เพราะในตอนกลางคืนคงไม่มีใครอุตริพูดหรอกนะ น้ำลายจะไม่ถูกบีบออกมาในยามที่เราไม่ได้ขยับปาก ดังนั้นปากจึงแห้ง และแบคทีเรียก็จะย่อยน้ำลาย และฟันฟางของท่านๆ แล้วปล่อยแก๊สออกมา

** อาการฟันผุก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ปากเหม็นได้ **

6. อาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว

โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่าทาง นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน หรือถูกภรรยาที่บ้านซ้อม แต่ท่านรู้หรือไม่ แม้ท่านนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ก็เมื่อยอ่าเด่ะ หรือไม่จริง

7. อาการ....อ้วน...อ้วน...อ้วน ก็อ้วน อ้วน อ้วน

นึกถึงลูกโป่ง ถ้าเราใส่น้ำเข้าไปโดยเจาะรูให้มันออกน้อยๆ มันก็บวมขึ้น ๆ ๆ ๆ เช่นกัน ทุกวันเรากินอา หารอย่างน้อย 3 มื้อ มีพลังงานมากมายเข้า แต่ออกน้อยนิดมานก็อ้วนเป็นธรรมดา โดยที่ยาลดความอ้วนยี่ห้อไหนก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นยานั้นจะทำให้ไขมันในตัวท่านเปลี่ยนเป็นพลังงานทั้งหมด (ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลลอรี่ ในตัวท่านมีกี่กรัมล่ะ แปลงเป็นพลังงานความร้อนแค่ครึ่งตัว ไฟก็ไหม้สำนักงานแล้ว)
อาหารประเภท ฟาดดูด ( พิมพ์ไม่ผิดๆ ) เช่น แฮมเบอร์เกอร์ น้ำอัดลม พิซซ่า ก็เป็นส่วนสำคัญ งานด่วน แล้วกินด่วน ก็อ้วนด่วน รวมทั้งการกินอาหารแบบกินไปทำงานไป จะทำให้อิ่มช้า และกินได้มาก ( มันไม่รู้จะอิ่มตอนไหน เห็นยุ่งๆ อยู่ไม่อยากขัด )

8. อาการโรคกระเพาะ กระเพาะคราก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว

ความเครียด ตัวการหลัก ท่านๆ ก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่การนอนไม่พอ ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการเหล่านี้ด้วยเช่นกัน การกินอาหารแบบเร่งรีบ ทำให้กระเพาะ และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

9. ริดสีดวง

เกิดจากการที่ท่านนั่งกันวันหนึ่งๆ กี่ชั่วโมงกัน ไหนจะ OT อีก บั้นท้ายท่านก็รับการกดทับ เส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ก็เกิดอาการเลือดคั่ง บวมเป่งสิทีนี้ ยิ่งน้ำหนักมาก อาการก็เป็นไว ควรลุกเดินบ้าง ลุกไปเชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา สุโขทัย ปัตตานี ยะลา นาราธิวาส แล้วค่อยกลับมานั่งทำงานต่อ (สำหรับ 3 จังหวัดหลังท่านอาจจะไม่ได้กลับมา ถ้าไม่แกร่งพอ..555)

May 24, 2007

เรื่องเล่าจาก สามีภรรยาคู่หนึ่ง ...

มีชาย-หญิงคู่นึงแต่งงานอยู่ด้วยกัน กระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยเชียวหล่ะ ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดูหรือถามใดใดทั้งสิ้น ฝ่ายสามีก้อช่างน่ารักเสียเหลือเกิน ไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย

วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมาก หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานเธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ เธอเปิดฝากล่องขึ้นมาพบว่ามี ตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณว่า 95,000 เหรียญ) บรรจุอยู่ข้างใน

ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย "ในวันแต่งงานของเรา คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ ท่านว่าครอบครัวสมรสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยและอดทนให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจ มีความรักให้แก่กัน และที่สำคัญคือมีความเข้าใจกัน" เธอหยุดพูด พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา "คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า เมื่อใดที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น หรือรู้สึกโกรธมากๆ ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ"

ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง มีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววางอยู่ เขาเบือนหน้าไปอีกทาง เพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยามีต่อเขาเป็นยิ่งนัก ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง 2 ตัว เท่านั้นแทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา

หลังจากปาดคราบน้ำตาแล้ว เขาหันกลับมา ฝ่ายภรรยาพูดต่อ "เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ" ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมา แล้วพูดต่อว่า " มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ..... " ฮา

ความรักดั่งเม็ดทราย